ครั้งนี้ได้กลับไปเท่ยวญี่ปุ่นเป็นครั้งที่ 3 ก็ยังไม่เบื่อนะ ยังไปได้อีกเรื่อยๆ แค่เริ่มอยากพักจากประเทศนี้บ้างถ้าเก็บตังค์ได้คราวหน้าอยากไปดินแดนตะวันนตกบ้าง ถ้าได้ไปก็คงจะดีไม่น้อยแต่คงไม่ใช้เร็วๆนี้แน่ๆ เพราะไปญี่ปุ่นรอบนี้เล่นเอาสิ้นเนื้อประดาตัว หมดตัวจริงๆกว่าจะฟื้นคืนชีพได้คงใช้เวลาหลายเดือน ที่หมดจริงๆก็เพราะรอบนี้ไปยาวหลายวันด้วยล่ะนะ ยาวที่สุดตั้งแต่เคยหยุดงานไปเที่ยวมาเลยคือใช้เวลาทั้งหมด10วัน แต่เที่ยวจริงๆก็ประมาณ 8 คือเดินทาง 16 ธ.ค. ตอนสายๆเพื่อบินไฟลท์บ่ายไปถึงนู่นดึกแล้ววันกลับคือกลับเช้าถึงเมืองไทยเช้ามืดวันที่ 25 ธ.ค. ซึ่งจริงๆตามแพลนตอนแรกก็ไม่ได้จะไปนานขนาดนี้ แต่ด้วยความโง่ของเราเองคือคิดมาตลอดว่าจะได้อยู่วันคริสต์มาสที่ญี่ปุ่น แต่จริงๆคือเราต้องกลับกันตั้งแต่คืนวันที่ 24 แล้ว สรุปนอกจากไม่ได้คริสต์มาสที่นู่นแล้ววันเที่ยวยังหายไปจาแพลนอีก 1 วันเต็มๆ ซวยละวันเที่ยวไม่พอตามแพลนโรงแรมก็จองไปมดแล้ว วิธีแก้ปัญหาคือยอมตัดใจเปลี่ยนตั๋ว จะกลับช้าหน่อยตั๋วก็แพงขึ้นเยอะ หวยเลยมาออกวันที่ 16 ซึ่งค่าตั๋วถูกที่สุดในช่วงนั้น เบ็ดเสร็จเสียเพิ่มเฉพาะค่าตั๋วไปประมาณคนละ 4000 กว่า แต่ได้วันเที่ยวมาอีกสามวัน ก็โอเคยอม พอเปลี่ยนตั๋วเสร็จก็เริ่มหาที่พัก เราเอาที่ๆอยากไปแต่เวลาไม่พออย่าง “อิเนะ Ine” กลับมา ทริปนี้เราเลยจะได้ไปถึง 5 เมือง คือ โกเบ,อิเนะ,อามาโนะฮาชิดาเตะ,เกียวโตและโอซาก้า แต่แผนการเดินทางออกจะมั่วๆหน่อยเพราะหลายๆอย่างมันฟิกซ์ไปแล้วก่อนจะได้วันเพิ่ม ก็ลองดูกันนะจ้ะ
ก่อนจะเริ่มต้นเมืองแรก คืนแรกเราเลือกที่จะนอนเอาแรงใกล้ๆสนามบินที่โรงแรม”Kansai Airport Washington Hotel”กันก่อนเพราะไฟลท์มาถึงที่นี่ดึกเข้าเมืองไปก็คงไม่สะดวกต้องไปลุ้นกับรถไฟอีก ซึ่งก็เป็นไปดังคาดเครื่องดีเลย์ประมาณ 1 ชั่วโมงทำให้ไฟลท์ที่ดึกอยู่แล้วยิ่งดึกเข้าไปอีก วิ่งหน้าตั้งกันตั้งแต่ลงเครื่องเพราะกลัวจะตกรถบัสฟรีของโรงแรม เพราะทริปนี้ทุกบาทคือสิ่งล้ำค่า ถ้าต้องโดนแท๊กซี่กันตั้งคืนแรกคงไม่ดีแน่ๆ สรุปว่าเซฟสำหรับคืนแรกเข้าโรงแรมมาก็รีบหาของลงท้องกันก่อนเพราะไม่ได้กินข้าวบนเครื่องมาก็จบวันด้วยมื้อง่ายๆจากแฟมิลี่มาร์ทที่โรงแรม แล้วก็รีบเข้านอนเพราะเราต้องออกกันตั้งแต่เช้า เพราะต้องย้อนกลับไปสนามบินอีกรอบเพื่อซื้อตั๋วรถไฟเข้าเมือง (เราเลือกใช้ Icoca+Haruka เพราะคิดแล้วว่าคุ้มเงินที่สุดละ)
วันแรกของเรา กำลังจะได้กินเนื้อแล้วว้อยยย
วันนี้เราออกกันตั้งแต่เช้าตรู่ตื่นกันตั้งแต่ตีห้าเพื่อนั่งรถบัสของโรงแรมตอนหกโมงเช้ากลับไปที่สนามบินเพื่อซือตั๋วรถไฟเข้าเมืองมุ่งหน้าสู่ชินโอซาก้า ซึ่งตั๋วแบบ Icoca+Haruka จะได้ตั๋วรถไฟเข้าเมืองที่เลือกได้ว่าเราจะไปขึ้นหรือลงรถที่เมืองไหน ก็จะมี โอซาก้า เกียวโต โกเบ และนารา เราเลือกมาลงที่ชินโอซาก้า เพราะคืนนี้จะต้องนอนแถวนั้น ซึ่งตั๋วรถไฟที่ซื้อมาก็จะรวมในส่วนของรถไฟในเมืองให้ด้วยขาละหนึ่งเที่ยวเราสามารถต่อรถไฟJRสายไหนก็ได้ลงที่ไหนก็ได้ภายในเมืองแบบฟรีๆได้เลย พอถึงโอซาก้าเราก็รีบเอากระเป๋าไปฝากที่โรงแรมแล้วก็ออกลุยมุ่งหน้าสู่โกเบกันต่อ
โกเบเป็นเมืองที่เราได้ยินชื่อบ่อยๆแต่นึกอะไรเกี่ยวกับมันไม่ออกเลย นอกจากเนื้อโกเบ เพราะฉนั้นเป้าหมายหลักๆของการไปเยือนโกเบในครั้งนี้ก็คือการได้ไปกินเนื้อโกเบดีๆสักครั้งนั่นเอง สำหรับเราโกเบเป็นเมืองเล็กๆเหมาะสำหรับการไปเที่ยวเล่นสักหนึ่งวันกำลังดี เราเลยเลือกเดินทางด้วย Kobe City Loop รถบัสสีเขียวเข้มสไตล์วินเทจ ที่วิ่งวนรอบเมือง ถ้าจะนั่งรถเล่นอย่างเดียวก็ใช้เวลาไม่นาน แต่ตั๋วแบบนี้เราสามารถขึ้นลงตามป้ายรถกี่ครั้งก็ได้ตลอดวันแล้วเราจะนั่งเฉยๆทำไมกันล่ะ เที่ยวสิจ้ะ
ประเดิมป้ายแรกด้วย Kitano Ijinkan เพื่อจะไปเดินเล่นในย่าน Kitanocho ก็ลอกๆเค้ามา เค้าบอกว่าเป็นย่านที่มีบ้านเก่าๆสไตล์ตะวันตกอยู่เยอะ ก็ฟังดูน่าสนใจนะ พอมาถึงจริงๆก็มีอยู่หลายที่จริงๆ แต่ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดจะเสียค่าเข้าชม ซึ่งจะเฉลี่ยต่อที่ก็หลักพันเยน แล้วแต่ว่าจะเป็นแพคเกจแบบไหน เข้าได้กี่หลัง ตอนแรกก็มีเล็งๆไว้บ้าง แต่ด้วยเวลาที่เลทมาพอสมควรแล้วไปดูหน้างานจริงๆมันก็ไม่ได้เย้ายวนให้เข้าไปอะไรมากมาย เลยไม่ได้เข้าข้่างในสักที่เลย ได้แต่เดินด้อมๆมองๆอยู่ด้านนอก โดยรวมๆก็ถือว่าเป็นย่านที่เดินได้แบบเพลินๆ แต่ก็ไม่ได้ว้าวไม่ได้สวยงามอะไรมากมาย เลยคิดว่าเดินให้ทั่วๆแล้วรีบไปกินเนื้อกันดีกว่า 55
แต่เราก็ไม่ได้ไปง่ายๆ บังเอิญว่าวันที่ไปอาจจะตรงกับวันเสาร์อาทิตย์ ทำให้ในใจกลางย่านนี้มี คนมาเปิดหมวก เล่นมายากล วาดรูป ขายนู่นนั่นนี่ กันก็แวะเดินเล่นกันต่ออีกหน่อยสนุกดี
แต่ต้องบอกไว้ก่อนสำหรับใครที่จะพาญาติผู้ใหญ่มาเที่ยวย่านนี้ต้องทำใจไว้ก่อนนะว่า มันไม่ใช่ทางเดินเรียบๆตรงๆราบๆ มันมีแต่ขึ้นกับลง เรียกว่าเดินกันเมื่อยเลย ใครแข้งขาไม่ดีมีสิทธิ์แพ้บายตั้งแต่ซอยแรก
มีแต่ทางขึ้นแล้วก็ลง
แต่ขึ้นมาแล้วเราก็ได้เจอกับวิวสวยๆของเมืองโกเบแบบนี้
พอๆ เดินพอละ ได้เวลาสำคัญ เรารีบมุ่งไป แถวๆ Tor Road นั่งซิตี้ลูปมาก็ได้นะ แต่เห็นว่ามันก็ใกล้ๆเลยถือโอกาสเดินเล่นไปด้วยเลยละกัน และร้านที่เรากำลังจะไปหาก็คือร้าน “Steak Aoyama” ที่ได้รับคำแนะนำมาว่าเด็ด
Steak Aoyama เป็นร้านเล็กๆขนาดไม่กี่ที่นั่ง ที่บริหารงานโดยคุณลุงและคุณป้าที่น่ารัก เข้ามาด้านในที่นั่งเกือบเต็มแล้วคุณลุงถามขึ้นมาว่าจองไว้รึเปล่า เราคิดในใจถ้าอดนี่เคว้งเลยนะ ไม่ได้มีแผนสำรองไว้เลย ขณะที่คุยกันอยู่ก็มีลูกค้าอีกสองคนที่จองไว้เดินเข้ามาพอดี ยิ่งเครียดหนักกลัวอดกิน หิวมากแล้วด้วย แต่บุญยังเหลือคุณลุงนิ้มให้พลางชี้ไปที่นั่งสองที่ที่ยังเหลืออยู่เป็นสัญญาณว่า “กูไม่อดแล้วว้อยย” อาหารที่ญี่ปุ่นนี่ก็อย่างที่รู้ๆกันว่าเซทอาหารกลางวันจะถูกกว่าอาหารเย็น แต่เมนูจะไม่มากเท่า เซทอาหารกลางวันของที่นี่มีให้เลือกแค่สองแบบคือ “เนื้อจากจังหวัดอื่น” และ “เนื้อโกเบ” ซึ่งแน่นอนว่าเราจะเลือกอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจาก “เนื้อโกเบ” ซึ่งเราจะสามารถเลือกได้ว่าเอาจะเอาเป็น เนื้อStrip loinหรือTenderloin อันนี้ก็แล้วแต่รสนิยมส่วนบุคคลเลย แต่เราชอบที่จะกินเนื้อแบบติดมันหน่อย เราเลยเลือกเป็นStrip Loin ในราคาประมาณ 5,000 เยน เราก็จะได้สลัด ซุป ข้าวหรือขนมปัง เนื้อ 100 กรัม และผักเครื่องเคียง
ผักย่างมาก่อนเลย ทุกอย่างอร่อยมาก ได้รสชาติอย่างที่ผักสดๆควรจะมี
เรากำลังจะได้กินแกแล้วนะเจ้าเนื้อ
สลัดผักหน้าตาดี ผักกรอบๆ ทานคู่กับซีฟู้ดสดๆ
ลงกะทะไปซะเจ้าเนื้อ
อ่าห์ ได้กินซะที ที่นี่เค้าจะเสิร์ฟเนื้อและเครื่องเคียงลงบนแผ่นฟรอยด์ที่เตรียมไว้ที่เห็นเงินๆเรียบๆนั่นแล่ะ
นอกจากรสชาติที่เราจะได้รับทางปากแล้ว เรายังจะได้เห็นเชฟของที่นี่ปรุงกันต่อหน้าต่อตา ได้เห็นขั้นตอนเนี๊ยบๆตั้งแต่เอาแผ่นฟรอยด์มาปะไว้บนกะทะแล้วรีดจนเรียบแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน แถมเชฟของเราวันนี้ยังพูดได้หลายภาษาอีกต่างหากนอกจากพูดภาษาไทยให้คนไทยอย่างเราฟัง แล้วยังพูดภาษาเกาหลี และไต้หวันใส่ลูกค้าคนข้างๆเราได้อีกด้วย ทั้งยังตลกดีด้วย เล่นเอาเพลินลืมหิวไปได้สิบวิเลยทีเดียว เอาล่ะถึงเวลาแห่งเนื้อสักที “อร่อยมากกกก” เนื้อนุ่มกลิ่นดี หอมกำลังดีไม่มากไม่น้อย กำลังเพลินๆข้าวหมดถ้วยซะแล้ว คุณป้าเลยเดินมาถามว่าเติมข้าวมั้ย เราเห็นเนื้อใกล้หมดแล้ว เลยไม่อยากกินข้าวเพิ่มแล้ว แต่คุณป้ายังขยั้นขยอแถมเดินไปหยิบรวงข้าวสดๆมาให้ดูอีก แล้วบอกเราว่าข้าวนี่พึ่งเก็บมาใหม่ๆเลยนะ ทั้งปีเนี่ยตอนนี้อร่อยที่สุดแล้ว เคี้ยวช้าๆจะได้รสหวานตามธรมชาติที่หาไม่ได้ช่วงไหน เอาอีกซักนิดน่า เอาเราก็ตะกละบวกกับข้าวมันอร่อยมากอย่างที่ป้าแกบอก เลยหยวนๆเอาก็ได้ครับป้า ซึ่งก็เขินๆอยู่เหมือนกันเพราะทั้งโต๊ะมีเราคนเดียวที่เติมข้าว ก็มันอร่อยนี่นา จบมื้อออกจากร้านด้วยความอิ่มเอมทั้งกายใจ
ด้วยความที่โกเบเป็นแหล่งท่องเที่ยวเล็กๆ เราออกจากร้านก็เดินเล่นต่อเดินไปๆมาๆก็ไปเจอเข้ากับ “Medi Terrasse” ชอปปิ้งมอลล์สวยๆหนึ่งในแลนด์มาร์คของที่นี่
หลังจากเดินเล่นในเมืองจนพอแล้ว เราก็กลับมาขึ้นซิตี้ลูปอีกครั้งเพื่อที่จะไป Kobe Port แหล่งชอปปิ้งที่อยู่ห่างไปสักหน่อย
ร้าน”Ultraman World” ของฮีโร่วัยเด็กที่เห็นแล้วไม่แวะไม่ได้
ทริปนี้มีกล้องดีๆไปด้วย เลยได้รูปสวยๆ
ที่Kobe Port มีพิพิธภัณฑ์อันปปังแมนด้วย แต่ไม่ได้เข้าหรอกนะ ขอถ่ายรูปเฉยๆ
เดินเล่นจนเมื่อยแล้วก็ถึงเวลาต้องกลับละ ลาก่อนโกเบไว้จะแวะมาใหม่นะ
ทสีเคเมนแสนอร่อย
เย็นนี้ได้น้องที่ญี่ปุ่นพามากินทสึเคเมนราเมนแยกเส้นแสนอร่อย ที่ให้เยอะจนหนำใจ แถมพอเส้นหมดถ้ายังไม่อิ่มยังมีข้าวถ้วยเล็กๆมาให้กินกับน้ำซุปต่ออีกด้วย อิ่มอ้วกกันไปเย็นนี้ จบวันแรกละกลับบ้านนอนเตรียมลุยต่อพรุ่งนี้