Feeds:
Posts
Comments

C2CD6E63-6550-46DF-ABB3-CCB97FA83EC2

ปีนี้อยู่กับจิดามาทั้งปี เจ้าจิ๋วโตขึ้นมากย้อนกลับไปดูรูปก่อนๆแล้วก็ตลกดี มาเทียบกับตอนนี้ที่เดินไม่หยุด พูดไม่หยุดทั้งวันแบบที่ไม่เคยคิดว่าจิ๋วมันจะซนได้ขนาดนี้ ปวดหัวเลย 555 วันไหนที่อยู่กับจิดาทั้งวันคือเพลียมาก ยากในทุกสิ่งแต่ก็มีความสุขดี ชมลูกตัวเองกับไอทรายทุกวัน

เรื่องเงินก็ค่อนข้างกรอบมากทั้งปี เดือนชนเดือนได้ถือว่าดี 55 ขนาดซื้อของเล่นน้อยลงมากแล้วนะเนี่ย ก็เอานะตามสภาพ

เรื่องเครียดเขียนสั้นๆพอ เรื่องดีๆบ้าง ปีนี้ลดนน.อีกรอบ ถือว่าทำได้ดีรวมๆปีนี้ลดไปได้เกือบๆ7โล และยังคงทำต่อไปเป้าคือ75 ไม่เคยทำได้ซะที แต่คราวนี้จะเอาให้ได้แบบใจเย็นๆ

เรื่องภายนอกไปแล้วก็มาถึงเรื่องภายใน เมื่อไม่กี่วันก่อนปวดนิ่วอีกแล้ว เยดเข้ นึกถึงความเจ็บปวดตอนคราวที่แล้วนี่เสียวแว้บเลย โชคดีที่มันหายไปเองภายในหนึ่งคืน หวังว่ามันจะหลุดไปแล้ว ร่างกายส่วนอื่นๆก็เดิมๆ ปวดหลัง ปวดเข่ายังคอยมารบกวนอยู่เรื่อยๆ

มาถึงเรื่องในสมองบ้าง ด้วยความที่ว่าภาระมันมากขึ้นแต่เงินเท่าเดิม แน่นอนว่าต้องมีคิดมากกันบ้าง จนไม่รู้เพราะเรื่องนี้หรือว่าเป็นเพราะวัย เหมือนรู้สึกว่าความสุข(นอกจากเรื่องจิดา) มันหายากขึ้น ดูหนังฟังเพลงอะไรก็ไม่ค่อยรู้สึกอินอะไรเท่าไร แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทุกข์ยากขึ้นเหมือนกัน เหมือนจะเข้าใจแล้วก็พยายามเข้าใจสิ่งต่างๆมากขึ้นไปอีกระดับ คิดว่าทุกสิ่งคือเรื่องธรรมดา เจ็บได้ทุกข์ได้รู้สึกได้ แต่ก็เข้าใจว่ามันก็เกิดขึ้นแล้วก็ผ่านไปตัวเราเองก็ไม่ได้อยู่นิ่ง(ชอบคำพูดของใครสักคนที่บอกว่าไม่มีใครเหยียบแม่น้ำสายเดิมได้ถึงสองครั้ง”) ถ้าตื่นมาวันพรุ่งนี้ก็คืออีกวัน ถ้าไม่ตื่นก็จบเท่านี้ ถ้ายังมีวันต่อไปก็ยังอยากเห็นจิดาเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ อ่า..คิดถึงลูกจัง เจอทุกวันก็ยังคิดถึง

ปีนี้ฟังPodcastเยอะขึ้นมาก ทำให้รู้ว่าตัวเองชอบFact มากกว่า Feel คือชอบฟังเรื่องที่เป็นเรื่องจริงอย่างวิธีการทำงานของบริษัทนู่นนี่ เรื่องวิทยาศาสตร์(จนทำให้รู้สึกเสียดายมากที่เด็กๆไม่ตั้งใจเรียนกว่านี้ 555) ในขณะเดียวกันฟังเรื่องแรงบันดาลใจ เรื่องเยียวยาจิตใจ คำคมๆ แล้วรู้สึกรำคาญแบบพูดห่าไรของมึง มึงพูดง่ายนี่หว่า ทำไมหล่อจังวะ 5555

สุดท้ายนี้หวังว่าปีหน้าจะเป็นปีที่ดี ได้ทำอะไรใหม่ๆทั้งได้ตังค์แล้วไม่ได้ตังค์แต่สนุกบ้าง(ก็ได้) ขอให้จิดาเติบโตอย่างเข้มแข็ง ปลอดภัย ให้หวยป๊าแม่นๆบ้าง (อยากไปญี่ปุ่นจังโว้ยย)

ขอบคุณทุกคนที่ยังอยู่รอบๆกันแบบห่างๆ พออายุมากขึ้นก็ไม่ค่อยสนแล้วว่าใครจะรักเราหรือเปล่า รู้แค่ตัวเองรักใครบ้างก็พอ ❤️อีกเรื่องคือปีนี้รู้สึกว่าอยากแสดงความเสียใจและให้กำลังใจกับคนที่ต้องการมากขึ้น ทั้งที่รู้จักจริงๆแล้วก็ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว หลังๆเลยแสดงออกผ่านโซเชียลมีเดียโดยการกดหัวใจบ้าง คอมเมนท์บ้างประปราย จนบางทีเหมือนเสือก แต่ไม่ได้จะเสือกนะแค่อยากทำดีๆแบบนั้นจริงๆ 🙂

สวัสดีปีใหม่ครับ

ดาเอง

31/12/62

97B3370D-C9DF-4128-BF64-D0A10985FF41.jpeg

เวลาผ่านไปเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ แค่พริบตาเดียวเด็กหญิงจิดาก็มีอายุครบขวยไปซะแล้ว ภาพวันแรกที่ได้เจอกัน ภาพน้ำนมหยดแรกที่กว่าจะออกมาได้ ทุกอย่างเหมือนเพิ่งเกิดไปไม่นาน เรายังจำมันได้อย่างชัดเจน ซึ่งก็แปลกดีที่มันชัดขนาดนั้น

จากวันนั้นถึงวันนี้จิดาโตขึ้นมาก มีความเปลี่ยนแปลงทุกสัปดาห์เรียกได้ว่าแทบจะทุกวันที่มีอะไรใหม่ๆมาให้เราได้พบอยู่เสมอๆ เอาจริงๆบางทีก็สงสัยว่าสิ่งที่ลูกเราทำได้มันเร็วหรือมันช้ากว่าใครหรือเปล่า แต่มันก็เกิดขึ้นมาแค่แวบเดียว เพราะสุดท้ายมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรกับเราหรอก ลูกเรามีคนเดียวลูกเขาก็มีคนเดียว เราก็แค่อยากรู้ขึ้นมา ด้วยความที่ไม่ได้ใกล้ชิดคลุกคลีกับเบบี๋แบบนี้มานานแสนนาน เต็มที่ก็หลานๆที่กว่าจะได้เจอกันก็โตมากกว่านี้ไปแล้วแถมยังเจอกันแค่ปีละครั้งอีกต่างหาก แต่บังเอิญรอบนี้มีเพื่อนๆพี่ๆน้องๆหลายๆคนมีลูกในวัยใกล้ๆกัน เลยได้แลกเปลี่ยนกันมากหน่อยจนบางทีก็คิดถึงว่าคนนั้นจะทำอันนี้ได้รึยังน้า จะยืน จะเดิน จะนั่งหรือฟันจะขึ้นหรือยัง มันก็สนุกดีที่ลูกๆเรากำลังจะได้เป็นเพื่อนกันต่ออีกรุ่น

แต่นอกจากเรื่องของความสุขที่เราได้รับจากเด็กคนหนึ่งแล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือความเครียดความกังวลในหลายๆแง่ ทั้งเรื่องสุขภาพของเค้า ตอนเค้าป่วยหรือแค่เหมือนจะป่วยก็เถอะมันทำให้เราโคตรเครียดเลย บางทีก็นอยไปเป็นวันๆเพราะไม่รู้ว่าเค้าเป็นอะไร แต่เราก็ยังโชคดีที่จิดาเป็นเด็กที่แข็งแรงประมาณหนึ่งทำให้ไม่ได้ป่วยรุนแรงอะไร สิ่งต่อมาที่สร้างความกังวลให้เรามากและคอยกวนใจอยู่ตลอดคือเรื่องค่าใช้จ่าย การจะมีลูกสักคนรายจ่ายมันตามมาจริงๆนี่ขนาดว่าช่วงนี้ยังไม่ต้องใช้จ่ายอะไรเป็นก้อนใหญ่ ในขณะเดียวที่ชีวิตก็มีแต่ความไม่แน่นอน อนาคตต่อไปจะเป็นยังไงก็ยังไม่รู้ แต่มองเห็นแล้วว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

เรื่องที่เห็นได้ชัดมากที่สุดคงเป็นเรื่องโรงเรียน หลายๆคนอาจจะบอกว่าถ้าเด็กมันรักดีเรียนที่ไหนก็ได้ ก็คงจริงส่วนหนึ่ง แต่คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็คงอยากให้ลูกได้เรียนโรงเรียนที่มันโอเคหน่อย ก็ต้องเลือกให้ดีให้พอเหมาะพอควรตามแต่ฐานะในตอนนั้นจะอำนวย ที่เหลือก็ต้องออกแรงเติมเข้าไปในส่วนที่ขาดเอา แต่สิ่งที่น่ากังวลก็คือสังคมเนี่ยล่ะนะ อันนี้คงเลือกยากก็คงทำได้แค่สอนให้ลูกเราเองแข็งแรงพอที่จะรับแรงกระแทกจากภายนอกด้วยตัวเองให้ได้

แล้วก็คงไม่ใช่เด็กคนเดียวที่ต้องเรียนรู้ ทั้งตัวเองและทรายก็คงต้องเรียนรู้ไปพร้อมๆกัน ทุกวันนี้พยายามบอกตัวเองตลอดว่าชีวิตลูกไม่ใช่ของเราเค้าจะต้องมีชีวิตของเค้าเราจะไปบังคับหรือบงการเค้าไม่ได้ ต่อให้เราเลี้ยงเค้าไปจนโตเค้าก็ไม่ต้องมาติดบุญคุณอะไร มันเป็นความรับผิดชอบของเราที่จะเลี้ยงเค้าให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะเราเลือกที่จะมีเค้าเองเราก็ต้องทำให้เค้ามีความสุขที่สุด สิ่งที่เราจะได้รับคือความสุขระหว่างทางในระหว่างที่ได้คอยดูเค้าเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดูแลตัวเองได้ไม่เป็นภาระให้สังคมซึ่งนั่นก็ควรจะพอแล้ว ส่วนในตอนจบจะได้อะไรมากกว่านั้นถือเป็นกำไรชีวิต

รัก

ป๊าของจิดาในวัย 36ปี

จิดา

“จิดา” อีกไม่กี่วันเราก็คงได้เจอกันแล้วสินะ การมีหนูขึ้นมาอีกคนในครอบครัวก็มีเรื่องให้ต้องคิดต้องกังวลมากขึ้นอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ไหนจะเรื่องความปลอดภัยของทั้งแม่และหนู ทั้งค่าใช้จ่าย ทั้งเรื่องเรียนเรื่องสุขภาพอะไรกระจุ๊กกระจิ๊กจิปาถะอีกก็ไม่น้อย แต่ไม่เป็นไรนั่นจะเป็นส่วนที่ป๊ากับแม่จะจัดการกันเอง ส่วนของหนูก็ “มุ่งไปข้างหน้า” ค้นหาตัวเองและทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำไป เช่นเดียวกับชื่อที่นอกจากเป็นส่วนผสมของเราทั้งคู่ ป๊ากับแม่ก็ยังคิดความหมายให้หนูไว้ตอบคนอื่นได้ จะได้ไม่ต้องมาคอยอธิบายเรื่องชื่อที่ไม่มีความหมายแบบนี้ ขอโทษกับความเอาแต่ใจแบบนี้ด้วย

ถึงตอนนี้ก็ยังคอยต่อไป ไม่รู้ว่าหนูพร้อมจะออกมาวันไหน แต่เอาตามสบายนะลูกอยากออกมาวันไหนค่อยออก จะเป็นอิสระอย่างแรกที่อยากให้หนูได้เลือกเอง และต่อๆไปก็เช่นกัน จะพยายามให้เลือกเองตัดสินใจเองให้ได้มากที่สุด หวังว่าลูกจะเกิดมาอย่างปลอดภัยและมีชีวิตอย่างมีความสุขกับป๊าและแม่นะ

#jidatheonenamegirl ❤

 

ปีนี้ก็ถือว่าเป็นปีที่ธรรมดาๆอีกหนึ่งปี ถ้าลงไปในรายละเอียดคงต้องบอกว่าธรรมดามากขึ้นไปอีก เพราะปีนี้สังคมน้อยถึงน้อยที่สุด ทั้งโลกจริงทั้งโลกเสมือน ชีวิตจริงก็ไม่ค่อยได้ไปไหนเพราะปีนี้มีภาระขึ้นมาแล้วแต่รายได้ยังคงเดิม อะไรที่ไม่จำเป็นก็ตัดทิ้ง เพื่อที่จะเอางบที่เหลือไปทำอะไรที่อยากได้อยากทำจริงๆ กินข้าวนอกบ้านน้อยลงมากจากหลายๆสาเหตุ ส่วนหนึ่งก็มาจากภาระ แต่อีกส่วนก็คือยังคงควบคุมงบโภชนการอยู่ตลอด เพื่อที่จะเอางบไปลงกับอะไรที่อยากกินจริงๆ เช่น เคเอฟซี ที่ปีนี้ทำเมนูใหม่ๆได้ดีทีเดียว

นอกจากเรื่องการใช้จ่ายที่น้อยลงไปแล้ว เจอเพื่อนน้อยลงมากๆเหมือนกันปีนี้ บนFacebook ก็ซ่อนไปหลายคน ตั้งสเตตัสอะไรน้อยลง แชร์แค่เรื่องที่ชอบ หรืองานการของคนรอบข้างสนับสนุนกันไป แต่ส่วนดีที่สุดบนโลกออนไลน์ คือการได้มีความสุขจากความสุขของคนอื่น ได้เห็นลูกหลานเพื่อนๆ ได้เห็นคนนู้นคนนี้ไปเที่ยว ได้เห็นคนพบรักใหม่ๆ ถือว่าเป็นความสุขง่ายๆในช่วงปีนี้

อย่างที่เคยบอกว่าตัวเองกำลังเปลี่ยนไปในช่วงปีหลังๆ ปีนี้ก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นไปอีก เราเริ่มมีความสุขจากการเสพความสุขของคนรอบข้าง แล้วก็เกลียดใครๆให้น้อยลง เข้าใจอะไรๆให้ได้มากขึ้น แต่แน่นอนว่าเราก็ยังเป็นคนปกติที่ยังคง มีความรักความโลภอะไรเหมือนคนอื่นเค้า แต่พยายามจะเข้าใจสิ่งที่เป็นไปต่างๆอย่างมีเหตุมีผลมากขึ้นแค่นั้นเอง จนมีความคิดขึ้นมาอย่างนึงคืออะไรๆก็เป็นเรื่องธรรมดา มันเกิดขึ้นได้และเราก็เสียมันไปได้

และความสุขอีกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงปีนี้ ก็คือการถ่ายรูปและทำรูป กลับมามีกล้องเป็นของตัวเองอีกครั้ง ซึ่งแฮปปี้มากที่ได้ออกไปถ่ายรูปคนนู้นคนนี้ กลับมาเปิดยูทูปเรียนวิธีถ่ายและการทำสีแบบใหม่ๆ เพลิดเพลินมากเป็นความสุขที่ดี ได้พัฒนาตัวเองในแบบที่เราชอบ เสียอย่างเดียวคือปีนี้ได้ทำขนมน้อยไปนิดอยากทำอีกแต่ขนมเป็นของที่กินเวลามากไปนิด เลยหาโอกาสได้ยากหน่อย

สุดท้ายนี้ขอบคุณคนรอบๆตัวที่เหลือที่ยังอยู่ด้วยกัน เรายังเป็นเพื่อนกันเสมอถ้าหากคุณยังอยากให้เราเป็นอยู่ มีความสุขที่เห็นทุกคนทีความสุขนะฮะ มีทุกข์อะไรก็แชร์กันได้ถ้าไม่รังเกียจยินดีเสมอ

รักทุกคน ❤

31 ธันวาคม 2560

 

ช่วงหลายๆเดือนที่ผ่านมาชีวิตค่อนข้างมีปัญหา แล้วรู้สึกว่าแม่งส่งผลกับชีวิตตัวเราเองอย่างหนัก จนบางทีเรารู้สึกว่าแม่งเปลี่ยนแน่ๆ แบบท่ไม่คาดคิด ซึ่งไอ้การเปลี่ยนแปลงที่ว่ามันก็มีทั้งส่วนที่ชอบและส่วนที่เกลียด วันนี้เลยอยากสรุปความรู้สึกที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ในแง่มุมที่ตัวเองคิดกับตัวเอง ไม่ได้สนว่าใครจะชอบหรือไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไว้ให้ตัวเองได้อ่านในอนาคตไม่วันใดก็วันหนึ่ง

เอาเรื่องที่ไม่ชอบก่อนละกัน รู้สึกว่าในแง่ของอารมณ์คงามรู้สึกอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด บางทีก็เศร้าอย่างไม่มีเหตุผล อ่อนไหวเหลือเกิน..แม่งเอ๊ย แล้วมันก็เหมือนกับชีวิตมีหมอกควันลอยอยู่ตลอดเวลาไม่มากก็น้อยแต่ตลอดเวลา จนดูเหมือนเราแทบจะไม่สามารถเจอกับวันที่ฟ้าโปร่งๆได้อีกแล้ว แม้กระทั่งวันที่ควรจะ”แฮปปี้” ก็เหมือนไปไม่สุด เบื่อมากกก

ส่วนเรื่องที่ชอบนะ เรารู้สึกว่าเรามี “Passion” กับอะไรๆมากขึ้นอยากทำนู่นทำนี่ อยากเดินทาง อยากหัดทำนั่นนี่ หาความรู้ใหม่ๆ พัฒนาตัวเองในทิศทางไหนก็ไม่รู้ แล้วมันจะดีกับอะไรมั้ยก็ไม่รู้ รู้แค่ว่าอยากลองทำอยสกรู้อยากเห็นไปซะหมด แล้วอีกอย่างที่ไม่รู้ว่ามันดีรึเปล่าก็คือ เหมือนเราจะได้ความ “Aggressive” ได้ความก้าวร้าวดุดัน ได้ความคิดแข็งๆ ขวางโลกหน่อยๆแบบสมัยก่อนกลับคืนมา ซึ่งจริงๆมันเป็นพาร์ทหนึ่งที่เราชอบตัวเองมากๆ ก่อนหน้านี้เคยมีบางครั้งคิดถึงความรู้สึกนี้อยู่เลยเหมือนอยากจะด่าคนอยากประชดประชันแต่ทำไม่ได้ ไม่รู้จะพูดอะไร

เอาเท่าที่นึกออกเท่านี้ก่อนละกัน

สวัสดีตัวเราในอนาคต

วันนี้เราก็ออกกันแต่เช้าอีกเช่นเคย ตารางวันนีคือต้องนั่งรถไฟไปเปลี่ยนรถที่สถานีเกียวโตไปอามาโนะฮาชิดาเตะแล้วก็ไปต่อรถบัสไปที่อิเนะอีกต่อหนึ่ง ส่วนความวุ่นวายของเช้านี้คือเราต้องรีบออกไปให้ทันรถเที่ยวแรกๆเพื่อที่จะไปหาล็อคเกอร์เก็บกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของเราเพราะว่าหลังจากที่จะไปค้างคืนกันที่อิเนะกันหนึ่งคืนก็จะกลับมาพักที่เกียวโตกันต่อ ซึ่งก็โดนสปอยมาว่าถ้าท่านไปสายท่านจะไม่มีล็อคเกอร์ว่างๆให้ใช้ ซึ่งนั่นหมายความว่าเราต้องลากกระเป๋าใบโตที่ล้อพังตั้งแต่วันแรกของเราขึ้นรถไฟแล้วไปต่อรถบัสด้วย นั่นไม่ดีแน่ มาถึงสถานีเกียวโตก็รีบจัดการเรื่องตั่วรถไฟกันก่อน ดูรีวิวตามเนทไปได้หลายวิธีมาก แต่บางวิธีนี่ถ้าเชื่อไปก็รากเลือดทั้งค่าใช้จ่ายทั้งความยากลำบาก เลยหาวิธีกันเอาเองได้วิธีที่สะดวกที่สุดมาก็คือนั่งรถไฟ Limited Express ยาวไปถึงอามาโนะฮาชิดาเตะ ซึ่งจะกินเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงหน่อยๆ ระหว่างทางจะรถจะวิ่งลอดอุโมงค์ผ่านภูเขาหลายลูก ผ่านเมืองเล็กๆที่เต็มไปด้วยหมอกเหมือนที่เราเห็นกันบ่อยๆในหนังเลย

PC180207.JPG

หมอกคลุมไปทั้งเมือง

สองชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว เราก็ถึงที่หมาย ณ Amanohashidate Station สถานีน่ารักมาก ชานชาลาไม้เก่าแต่ไม่โทรม เพราะน่าจะถูกดูแลกันอย่างดี พอถึงเราก็เข้าไปถามถึงรถบัสที่จะไปอิเนะกับเจ้าหน้าที่ในเคาท์เตอร์ Tourist Information ก็ได้คำตอบว่ารถจะมาในอีกประมาณ 1 ชั่วโมง ค่าตั๋ว 400 เยน จ่ายบนรถได้เลย เสร็จเราก็เดินมาดูตารางรถขากลับไว้ก่อนเลยเพราะเมืองยิ่งเล็กรถไฟยิ่งน้อย อย่างที่นี่รถที่จะวิ่งเข้าเกียวโตก็มีแค่วันละ 4 เที่ยว (แล้วเวลาที่เหมาะกับเราก็มีแค่เที่ยวเดียวซะด้วย) ได้ยินแบบนั้นเลยออกไปเดินเล่นหาข้าวกินกันสักหน่อย

OLYMPUS DIGITAL CAMERAOLYMPUS DIGITAL CAMERAOLYMPUS DIGITAL CAMERAOLYMPUS DIGITAL CAMERA

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

ร้านกาแฟหน้าตาน่ารักเล็งไว้ก่อนวันนี้รีบ คนในภาพคือเจ้าของร้านที่กำลังเดินออกมาส่งลูกค้า

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

ข้าวหน้าซีฟู้ดรวมสดมาก อร่อยย

ด้วยความที่เป็นเมืองที่ติดทะเล ของที่ขายกันที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นของทะเล ทั้งสดทั้งตากแห้ง (ที่ขายกันเยอะๆก็จะเป็นปูทาราบะขายาวๆที่เราเห็นกันบ่อยๆ) แต่ร้านอาหารรอบๆสถานีอาจจะมีตัวเลือกไม่มากนัก เดินวนสักพักเราก็มาจบที่ร้านแรกตรงข้ามสถานีนั่นล่ะ ราคาก็กลางๆประมาณพันกว่าเยนก็ได้หนึ่งอิ่มละ แต่จะลำบากหน่อยก็ตรงเมนูที่ญี่ปุ่นล้วนจ้า โชคดีที่เราได้แอพ Google Translate ช่วยชีวิต (ควรมีติดเครื่องไว้เลยช่วยชีวิตได้มากมาย) แต่ด้วยความที่เราเดินหาร้านกันนานไปหน่อย สรุปตกรถจ้าต้องรอรอบต่อไปก็ไม่นานมากนะแค่ประมาณชั่วโมงเดียว

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

ป้ายรถหน้าตาแบบนี้ล่ะ

ถึงเวลา รถก็มาแบบตรงเวลาเป๊ะ เรื่องสายรถนี่แนะนำให้ถามกับในสถานีมาก่อนเลยนะ เค้าจะถามว่าพักที่ไหน เพราะรถที่ไปอิเนะมันก็จะมีทั้งต้นๆอิเนะกับในๆอิเนะอีก อย่าหวังว่าจะไปเปรี้ยวเดินต่อเองเชียวล่ะ ครั้งนี้ก็เกือบไปละ แต่โชคดีที่ทางที่พักเค้าใจดีจะมารับที่ป้ายรถ ไม่งั้นไอ้ทางที่เราเห็นว่าใกล้ๆมันใกล้จริง แต่มันต้องเดินขึ้นเขาเข้าอุโมงค์อีกรอบกว่าจะถึง ถ้าได้เดินจริงคงแฮ่กแน่ๆ เราใช้เวลาบนรถบัสกันอยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมง รถบัสนอกเมืองที่นี่เค้าดีจริงๆ เพราะทางที่ไปนี่บางป้ายถนนเล็กนิดเดียว บางป้ายไปแล้วต้องกลับรถออกมาทางเดิม เพราะเค้าจะตั้งป้ายไว้ในแหล่งชุมชนหรือสถานที่หลักๆ เช่น โรงเรียนหรือโรงพยาบาลกันเลย ไปไหนมาไหนต่อให้ไม่มีรถก็ยังพอไหว แล้วการให้ข้อมูลก็ดี๊ย์ดีย์ หาได้ตั้งแต่ต้นทาง ไม่ต้องมางมกันหน้างาน ทำให้อะไรๆก็ง่ายขึ้น เอาล่ะถึงอิเนะสักที”คุระซัง”เจ้าของที่พักก็มารับเราที่ป้ายรถบัส พอเขาเขตอ่าวอิเนะเท่านั้นล่ะ หายเหนื่อยเลย พระอาทิตย์กำลังจะตกอะไรๆมันก็สวยไปซะหมด พอเข้าที่พักก็คุยกับคุระซังเรื่องนู่นนี่ เค้าก็ถามขึ้นมาว่ามมีแพลนจะทำอะไรบ้าง เราก็บอกไปว่าอยากนั่งเรือชมวิวในอ่าว เค้าเลยบอกว่าไปเรือเค้าก็ได้ เราถามไปว่าเท่าไร (เพราะดูมาว่าท่านั่งที่ท่าเรือจะเสียคนละประมาณ 800 เยนมั้งถ้าจำไม่ผิด) เค้าบอกว่า “ฟรี” จ้า ตาลุกวาวกันเลย รีบเก็บของรีบออกดีฝ่า โฮะโฮะ

 

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

เรือพร้อมคนพร้อมกว่า

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

โรงแรมในอิเนะเกือบทั้งหมดดัดแปลงมาจากบ้านที่เรียกว่า “Funaya” หรือก็คือบ้านที่มีโรงจอดเรืออยู่ชั้นล่าง แล้วที่พักอยู่ด้านบน เพราะคนที่นี่ส่วนใหญ่จะมีเรือไว้ทำประมงกันทั้งนั้น

OLYMPUS DIGITAL CAMERAOLYMPUS DIGITAL CAMERA

 

วันนี้ก็จบวันด้วยความอิ่มเอมใจ วิวที่เจอเล่นเอาหายเหนื่อย มันคุ้มค่ากับสามชั่วโมงที่ถ่อมาจริงๆ วันนี้ต้องขอกลับไปพักใช้ห้องให้คุ้มค่าหน่อย เพราะราคาก็ไม่เบา (ราคาที่พักแถวนี้จะใกล้เคียงกันมากคือประมาณ 10000 เยน ต่อคนต่อคืนไม่รวมอาหารเช้า ถ้าอยากได้อาหารเช้าก็บวกเข้าไปอีกประมาณ 2-3 พัน ถ้าอาหารค่ำก็จะแแพงหน่อยอย่างที่เราไปพักกันรอบนี้อาหารค่ำอย่างเดียว เค้าคิดประมาณ 10000 เยนแล้วแต่เมนูมีให้เลือกเป็นปลา”Yellow tail” กับ ปู แต่ดูแล้วน่าจะได้ชุดใหญ่อยู่คงเยอะไปแล้วที่สำคัญไม่มีตังค์ 555 เลยจบด้วยขนมกับของว่างจากร้านของชำข้างๆที่พัก) รีบนอนเดี๋ยวพรุ่งนี้จะตื่นเช้ามาปั่นจักรยานเที่ยวให้รอบเมืองเลย

This slideshow requires JavaScript.

 

ครั้งนี้ได้กลับไปเท่ยวญี่ปุ่นเป็นครั้งที่ 3 ก็ยังไม่เบื่อนะ ยังไปได้อีกเรื่อยๆ แค่เริ่มอยากพักจากประเทศนี้บ้างถ้าเก็บตังค์ได้คราวหน้าอยากไปดินแดนตะวันนตกบ้าง ถ้าได้ไปก็คงจะดีไม่น้อยแต่คงไม่ใช้เร็วๆนี้แน่ๆ เพราะไปญี่ปุ่นรอบนี้เล่นเอาสิ้นเนื้อประดาตัว หมดตัวจริงๆกว่าจะฟื้นคืนชีพได้คงใช้เวลาหลายเดือน ที่หมดจริงๆก็เพราะรอบนี้ไปยาวหลายวันด้วยล่ะนะ ยาวที่สุดตั้งแต่เคยหยุดงานไปเที่ยวมาเลยคือใช้เวลาทั้งหมด10วัน แต่เที่ยวจริงๆก็ประมาณ 8 คือเดินทาง 16 ธ.ค. ตอนสายๆเพื่อบินไฟลท์บ่ายไปถึงนู่นดึกแล้ววันกลับคือกลับเช้าถึงเมืองไทยเช้ามืดวันที่ 25 ธ.ค. ซึ่งจริงๆตามแพลนตอนแรกก็ไม่ได้จะไปนานขนาดนี้ แต่ด้วยความโง่ของเราเองคือคิดมาตลอดว่าจะได้อยู่วันคริสต์มาสที่ญี่ปุ่น แต่จริงๆคือเราต้องกลับกันตั้งแต่คืนวันที่ 24 แล้ว สรุปนอกจากไม่ได้คริสต์มาสที่นู่นแล้ววันเที่ยวยังหายไปจาแพลนอีก 1 วันเต็มๆ ซวยละวันเที่ยวไม่พอตามแพลนโรงแรมก็จองไปมดแล้ว วิธีแก้ปัญหาคือยอมตัดใจเปลี่ยนตั๋ว จะกลับช้าหน่อยตั๋วก็แพงขึ้นเยอะ หวยเลยมาออกวันที่ 16 ซึ่งค่าตั๋วถูกที่สุดในช่วงนั้น เบ็ดเสร็จเสียเพิ่มเฉพาะค่าตั๋วไปประมาณคนละ 4000 กว่า แต่ได้วันเที่ยวมาอีกสามวัน ก็โอเคยอม พอเปลี่ยนตั๋วเสร็จก็เริ่มหาที่พัก เราเอาที่ๆอยากไปแต่เวลาไม่พออย่าง “อิเนะ Ine” กลับมา ทริปนี้เราเลยจะได้ไปถึง 5 เมือง คือ โกเบ,อิเนะ,อามาโนะฮาชิดาเตะ,เกียวโตและโอซาก้า แต่แผนการเดินทางออกจะมั่วๆหน่อยเพราะหลายๆอย่างมันฟิกซ์ไปแล้วก่อนจะได้วันเพิ่ม ก็ลองดูกันนะจ้ะ

img_6189

ก่อนจะเริ่มต้นเมืองแรก คืนแรกเราเลือกที่จะนอนเอาแรงใกล้ๆสนามบินที่โรงแรม”Kansai Airport Washington Hotel”กันก่อนเพราะไฟลท์มาถึงที่นี่ดึกเข้าเมืองไปก็คงไม่สะดวกต้องไปลุ้นกับรถไฟอีก ซึ่งก็เป็นไปดังคาดเครื่องดีเลย์ประมาณ 1 ชั่วโมงทำให้ไฟลท์ที่ดึกอยู่แล้วยิ่งดึกเข้าไปอีก วิ่งหน้าตั้งกันตั้งแต่ลงเครื่องเพราะกลัวจะตกรถบัสฟรีของโรงแรม เพราะทริปนี้ทุกบาทคือสิ่งล้ำค่า ถ้าต้องโดนแท๊กซี่กันตั้งคืนแรกคงไม่ดีแน่ๆ สรุปว่าเซฟสำหรับคืนแรกเข้าโรงแรมมาก็รีบหาของลงท้องกันก่อนเพราะไม่ได้กินข้าวบนเครื่องมาก็จบวันด้วยมื้อง่ายๆจากแฟมิลี่มาร์ทที่โรงแรม แล้วก็รีบเข้านอนเพราะเราต้องออกกันตั้งแต่เช้า เพราะต้องย้อนกลับไปสนามบินอีกรอบเพื่อซื้อตั๋วรถไฟเข้าเมือง (เราเลือกใช้ Icoca+Haruka เพราะคิดแล้วว่าคุ้มเงินที่สุดละ)

img_6191

วันแรกของเรา กำลังจะได้กินเนื้อแล้วว้อยยย

วันนี้เราออกกันตั้งแต่เช้าตรู่ตื่นกันตั้งแต่ตีห้าเพื่อนั่งรถบัสของโรงแรมตอนหกโมงเช้ากลับไปที่สนามบินเพื่อซือตั๋วรถไฟเข้าเมืองมุ่งหน้าสู่ชินโอซาก้า ซึ่งตั๋วแบบ Icoca+Haruka จะได้ตั๋วรถไฟเข้าเมืองที่เลือกได้ว่าเราจะไปขึ้นหรือลงรถที่เมืองไหน ก็จะมี โอซาก้า เกียวโต โกเบ และนารา เราเลือกมาลงที่ชินโอซาก้า เพราะคืนนี้จะต้องนอนแถวนั้น ซึ่งตั๋วรถไฟที่ซื้อมาก็จะรวมในส่วนของรถไฟในเมืองให้ด้วยขาละหนึ่งเที่ยวเราสามารถต่อรถไฟJRสายไหนก็ได้ลงที่ไหนก็ได้ภายในเมืองแบบฟรีๆได้เลย พอถึงโอซาก้าเราก็รีบเอากระเป๋าไปฝากที่โรงแรมแล้วก็ออกลุยมุ่งหน้าสู่โกเบกันต่อ

โกเบเป็นเมืองที่เราได้ยินชื่อบ่อยๆแต่นึกอะไรเกี่ยวกับมันไม่ออกเลย นอกจากเนื้อโกเบ เพราะฉนั้นเป้าหมายหลักๆของการไปเยือนโกเบในครั้งนี้ก็คือการได้ไปกินเนื้อโกเบดีๆสักครั้งนั่นเอง สำหรับเราโกเบเป็นเมืองเล็กๆเหมาะสำหรับการไปเที่ยวเล่นสักหนึ่งวันกำลังดี เราเลยเลือกเดินทางด้วย Kobe City Loop รถบัสสีเขียวเข้มสไตล์วินเทจ ที่วิ่งวนรอบเมือง ถ้าจะนั่งรถเล่นอย่างเดียวก็ใช้เวลาไม่นาน แต่ตั๋วแบบนี้เราสามารถขึ้นลงตามป้ายรถกี่ครั้งก็ได้ตลอดวันแล้วเราจะนั่งเฉยๆทำไมกันล่ะ เที่ยวสิจ้ะ

OLYMPUS DIGITAL CAMERAOLYMPUS DIGITAL CAMERA

PC170082.JPG

ประเดิมป้ายแรกด้วย Kitano Ijinkan เพื่อจะไปเดินเล่นในย่าน Kitanocho  ก็ลอกๆเค้ามา เค้าบอกว่าเป็นย่านที่มีบ้านเก่าๆสไตล์ตะวันตกอยู่เยอะ ก็ฟังดูน่าสนใจนะ พอมาถึงจริงๆก็มีอยู่หลายที่จริงๆ แต่ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดจะเสียค่าเข้าชม ซึ่งจะเฉลี่ยต่อที่ก็หลักพันเยน แล้วแต่ว่าจะเป็นแพคเกจแบบไหน เข้าได้กี่หลัง ตอนแรกก็มีเล็งๆไว้บ้าง แต่ด้วยเวลาที่เลทมาพอสมควรแล้วไปดูหน้างานจริงๆมันก็ไม่ได้เย้ายวนให้เข้าไปอะไรมากมาย เลยไม่ได้เข้าข้่างในสักที่เลย ได้แต่เดินด้อมๆมองๆอยู่ด้านนอก โดยรวมๆก็ถือว่าเป็นย่านที่เดินได้แบบเพลินๆ แต่ก็ไม่ได้ว้าวไม่ได้สวยงามอะไรมากมาย เลยคิดว่าเดินให้ทั่วๆแล้วรีบไปกินเนื้อกันดีกว่า 55

แต่เราก็ไม่ได้ไปง่ายๆ บังเอิญว่าวันที่ไปอาจจะตรงกับวันเสาร์อาทิตย์ ทำให้ในใจกลางย่านนี้มี คนมาเปิดหมวก เล่นมายากล วาดรูป ขายนู่นนั่นนี่ กันก็แวะเดินเล่นกันต่ออีกหน่อยสนุกดี

PC170078.JPGPC170079.JPGOLYMPUS DIGITAL CAMERA

แต่ต้องบอกไว้ก่อนสำหรับใครที่จะพาญาติผู้ใหญ่มาเที่ยวย่านนี้ต้องทำใจไว้ก่อนนะว่า มันไม่ใช่ทางเดินเรียบๆตรงๆราบๆ มันมีแต่ขึ้นกับลง เรียกว่าเดินกันเมื่อยเลย ใครแข้งขาไม่ดีมีสิทธิ์แพ้บายตั้งแต่ซอยแรก

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

มีแต่ทางขึ้นแล้วก็ลง

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

แต่ขึ้นมาแล้วเราก็ได้เจอกับวิวสวยๆของเมืองโกเบแบบนี้

พอๆ เดินพอละ ได้เวลาสำคัญ เรารีบมุ่งไป แถวๆ Tor Road นั่งซิตี้ลูปมาก็ได้นะ แต่เห็นว่ามันก็ใกล้ๆเลยถือโอกาสเดินเล่นไปด้วยเลยละกัน และร้านที่เรากำลังจะไปหาก็คือร้าน “Steak Aoyama” ที่ได้รับคำแนะนำมาว่าเด็ด

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

Steak Aoyama เป็นร้านเล็กๆขนาดไม่กี่ที่นั่ง ที่บริหารงานโดยคุณลุงและคุณป้าที่น่ารัก เข้ามาด้านในที่นั่งเกือบเต็มแล้วคุณลุงถามขึ้นมาว่าจองไว้รึเปล่า เราคิดในใจถ้าอดนี่เคว้งเลยนะ ไม่ได้มีแผนสำรองไว้เลย ขณะที่คุยกันอยู่ก็มีลูกค้าอีกสองคนที่จองไว้เดินเข้ามาพอดี ยิ่งเครียดหนักกลัวอดกิน หิวมากแล้วด้วย แต่บุญยังเหลือคุณลุงนิ้มให้พลางชี้ไปที่นั่งสองที่ที่ยังเหลืออยู่เป็นสัญญาณว่า “กูไม่อดแล้วว้อยย” อาหารที่ญี่ปุ่นนี่ก็อย่างที่รู้ๆกันว่าเซทอาหารกลางวันจะถูกกว่าอาหารเย็น แต่เมนูจะไม่มากเท่า เซทอาหารกลางวันของที่นี่มีให้เลือกแค่สองแบบคือ “เนื้อจากจังหวัดอื่น” และ “เนื้อโกเบ” ซึ่งแน่นอนว่าเราจะเลือกอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจาก “เนื้อโกเบ” ซึ่งเราจะสามารถเลือกได้ว่าเอาจะเอาเป็น เนื้อStrip loinหรือTenderloin อันนี้ก็แล้วแต่รสนิยมส่วนบุคคลเลย แต่เราชอบที่จะกินเนื้อแบบติดมันหน่อย เราเลยเลือกเป็นStrip Loin ในราคาประมาณ 5,000 เยน เราก็จะได้สลัด ซุป ข้าวหรือขนมปัง เนื้อ 100 กรัม และผักเครื่องเคียง

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

ผักย่างมาก่อนเลย ทุกอย่างอร่อยมาก ได้รสชาติอย่างที่ผักสดๆควรจะมี

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

เรากำลังจะได้กินแกแล้วนะเจ้าเนื้อ

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

สลัดผักหน้าตาดี ผักกรอบๆ ทานคู่กับซีฟู้ดสดๆ

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

ลงกะทะไปซะเจ้าเนื้อ

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

อ่าห์ ได้กินซะที ที่นี่เค้าจะเสิร์ฟเนื้อและเครื่องเคียงลงบนแผ่นฟรอยด์ที่เตรียมไว้ที่เห็นเงินๆเรียบๆนั่นแล่ะ

นอกจากรสชาติที่เราจะได้รับทางปากแล้ว เรายังจะได้เห็นเชฟของที่นี่ปรุงกันต่อหน้าต่อตา ได้เห็นขั้นตอนเนี๊ยบๆตั้งแต่เอาแผ่นฟรอยด์มาปะไว้บนกะทะแล้วรีดจนเรียบแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน แถมเชฟของเราวันนี้ยังพูดได้หลายภาษาอีกต่างหากนอกจากพูดภาษาไทยให้คนไทยอย่างเราฟัง แล้วยังพูดภาษาเกาหลี และไต้หวันใส่ลูกค้าคนข้างๆเราได้อีกด้วย ทั้งยังตลกดีด้วย เล่นเอาเพลินลืมหิวไปได้สิบวิเลยทีเดียว เอาล่ะถึงเวลาแห่งเนื้อสักที “อร่อยมากกกก” เนื้อนุ่มกลิ่นดี หอมกำลังดีไม่มากไม่น้อย กำลังเพลินๆข้าวหมดถ้วยซะแล้ว คุณป้าเลยเดินมาถามว่าเติมข้าวมั้ย เราเห็นเนื้อใกล้หมดแล้ว เลยไม่อยากกินข้าวเพิ่มแล้ว แต่คุณป้ายังขยั้นขยอแถมเดินไปหยิบรวงข้าวสดๆมาให้ดูอีก แล้วบอกเราว่าข้าวนี่พึ่งเก็บมาใหม่ๆเลยนะ ทั้งปีเนี่ยตอนนี้อร่อยที่สุดแล้ว เคี้ยวช้าๆจะได้รสหวานตามธรมชาติที่หาไม่ได้ช่วงไหน เอาอีกซักนิดน่า เอาเราก็ตะกละบวกกับข้าวมันอร่อยมากอย่างที่ป้าแกบอก เลยหยวนๆเอาก็ได้ครับป้า ซึ่งก็เขินๆอยู่เหมือนกันเพราะทั้งโต๊ะมีเราคนเดียวที่เติมข้าว ก็มันอร่อยนี่นา จบมื้อออกจากร้านด้วยความอิ่มเอมทั้งกายใจ

ด้วยความที่โกเบเป็นแหล่งท่องเที่ยวเล็กๆ เราออกจากร้านก็เดินเล่นต่อเดินไปๆมาๆก็ไปเจอเข้ากับ “Medi Terrasse” ชอปปิ้งมอลล์สวยๆหนึ่งในแลนด์มาร์คของที่นี่

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

หลังจากเดินเล่นในเมืองจนพอแล้ว เราก็กลับมาขึ้นซิตี้ลูปอีกครั้งเพื่อที่จะไป Kobe Port แหล่งชอปปิ้งที่อยู่ห่างไปสักหน่อย

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

ร้าน”Ultraman World” ของฮีโร่วัยเด็กที่เห็นแล้วไม่แวะไม่ได้

OLYMPUS DIGITAL CAMERAOLYMPUS DIGITAL CAMERA

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

ทริปนี้มีกล้องดีๆไปด้วย เลยได้รูปสวยๆ

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

ที่Kobe Port มีพิพิธภัณฑ์อันปปังแมนด้วย แต่ไม่ได้เข้าหรอกนะ ขอถ่ายรูปเฉยๆ

เดินเล่นจนเมื่อยแล้วก็ถึงเวลาต้องกลับละ ลาก่อนโกเบไว้จะแวะมาใหม่นะ

IMG_6264.JPG

ทสีเคเมนแสนอร่อย

เย็นนี้ได้น้องที่ญี่ปุ่นพามากินทสึเคเมนราเมนแยกเส้นแสนอร่อย ที่ให้เยอะจนหนำใจ แถมพอเส้นหมดถ้ายังไม่อิ่มยังมีข้าวถ้วยเล็กๆมาให้กินกับน้ำซุปต่ออีกด้วย อิ่มอ้วกกันไปเย็นนี้ จบวันแรกละกลับบ้านนอนเตรียมลุยต่อพรุ่งนี้

วันหนึ่งหนึ่ง.jpg

น่าน Day 1

“ขี่จักรยานรัวๆ” วนไปวนมาหานู่นนี่ไม่เคยเจอหลงเละเทะ พอเจอก็ปิดอีก 55 ตั้งแต่เช้ายันเย็น(ที่เห็นนี่คือแค่ครึ่งบ่ายนะ ตอนเช้าลืมเปิด) โชคดีอย่างคือฝนตกไปช่วงเช้ามืดอากาศเลยกำลังดีช่วงที่แดดไม่จัดเลยเย็นสบาย คือน่านเป็นเมืองจักรยานที่ดีเลยทีเดียวในตัวเมืองมีไบค์เลนทั่วไปหมด แต่ก็เหมือนเคยรถจอดไปทั่วเหมือนกัน แต่ก็ดีพอที่จะทำให้คนขี่จักรยานอ่อนๆแบบข้าพเจ้าแรดไปได้ทั่วเมือง ส่วนค่าครองชีพที่นี่ก็ไม่ถูกไม่แพง ก๋วยเตี๋ยวชามละ35-40 มะพร้าวลูกละ40 แต่ก๋วยเตี๋ยวที่กินมาวันนี้เนื้อนี่ใส่เต็มมาก ชามเดียวอิ่มสบายท้อง แต่หาของกินยากไปนิดอาจจะเป็นเพราะมาวันแรกครั้งแรก แถมเป็นวันธรรมดาอีกต่างหาก เฮ้อ…เหนื่อยจุง ยังไม่ได้กินกาแฟเลย แต่พรุ่งนี้จะไปชิมร้านที่เค้าว่ากันว่าอร่อยที่สุดในเมืองน่าน ไปชิมแล้วจะมารายงาน เดี๋ยวรู้กัน

วันหนึ่งสาม.jpg

“เตี๋ยวไร้เทียมทาน” บะหมี่หมูเปื่อยต้มยำ วนหาร้านกินเป็นชั่วโมง จนมาเจอร้านนี้ อร่อยเลยนะเนื้อซี่โครงอ่อนเปื่อยๆ ซุปเข้มข้น(อาจจะเพราะไปกินตอนจะปิดแล้วด้วยมั้ง) มาน่านก็กินซะ อ่อ ที่เห็นขาวๆนั่นมะนาวนะ มาแบบชิ้นเป้งๆกันทั้งเมือง เห็นว่าเป็นพันธ์ตาฮิติเลยนะ (อย่าถามว่าแล้วไงล่ะ คือกรูก็รู้แค่นี้แล่ะ)

วันหนึ่งสอง

ส่วนสภาพหัวเข่ากลมๆของผมก็เป็นอย่างที่เห็น ล้ามากมาย จนคิดว่าถ้าเราปล่อยไว้เฉยๆพรุ่งนี้คงแย่แน่ๆ เลยจัดการหาหยูกยามาประเคนมันสักหน่อย ผลก็คือวันรุ่งขึ้นก็กลับมาเป็นปกติดีพร้อมลุยต่อ

วันสองหนึ่ง

น่าน Day 2

“มุ่งหน้าสู่บ่อเกลือ” ต.บ่อเกลือ คืออีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่พบเห็นได้ตามรีวิวการท่องเที่ยวจังหวัดน่านที่จริงๆตอนแรกไม่ได้คิดจะไปเลยจนกระทั่งเมื่อวานมีคนท้องที่แนะนำให้มาถึง3คน คนแรก “คุณตำรวจท่องเที่ยว” ที่เราได้เข้าไปขอแผนที่ บอกปกตินี่คนจะมานอนปัว(อ.ปัวที่เรานอนคืนนี้)คืนแรกแล้วค่อยย้อนเข้ามาเที่ยวในเมืองวันหลัง คนแรกผ่านไปมาถึงคนที่2คือคนขับรถที่เรานั่งมาจากสนามบินเพื่อเข้าเมืองบอกมีเหมารถเที่ยวบ่อเกลือ-ปัวจบภายในหนึ่งวัน แค่เราจองที่พักที่ปัวไปแล้วเลยจบไป คนสุดท้ายคือน้องที่ร้านขายเสื้อวนเมืองที่พอได้ยินว่าเราจะมานอนที่ปัวก็พูดขึ้นมาว่า”ปัวไม่เห็นมีอะไรเลยต้องไปบ่อเกลือดีกว่า หนาวทั้งปีนี่ต้องหาเสื้อไปเผื่อด้วยนะ” จนเราอยากจะไปและตัดสินใจที่จะขับรถไกลขึ้นกว่าเดิมอีกหลายสิบกิโลเพื่อมัน พอใกล้จะถึงฝนก็เริ่มตกต้อนรับการมาถึงของเราทั้งสอง ในที่สุดเราก็ได้พบกับ “บ่อเกลือโบราณ” และที่สำคัญคือมันปิดจ้า เลยไปถามคนที่ผ่านมาแถวนั้นได้ความว่า “ไม่มีการต้มเกลือกันในช่วงเข้าพรรษา 3 เดือน” เชี่ยยยย กูมาเพื่ออออ!!! แล้วคนที่แนะนำมานี่เอาอะไรมาพูด อนาถนัก…

ประกอบกับเริ่มหิวกันแล้วเลยถามพี่คนเดิมว่าแถวนี้ไปกินอะไรดี พี่เค้าแนะนำร้าน “หัวสะพาน” ที่ตอนแรกคิดง่ามันอยู่ตรงหัวสะพานจนถามถึงชื่อร้านว่ามันชื่ออะไรถึงรู้ว่ามันชื่อร้าน”หัวสะพาน” ไปถึงก็เจอร้านอาหารบรรยากาศบ้านๆริมน้ำที่เปิดเพลงเพื่อชีวิต ที่มีตำรวจขี้เมาสองคนนั่งซัดเบียร์กันอยู่ตั้งแต่หัววัน สั่งอาหารเรียบร้อยพนักงานร้านก็บอกว่าวันนี้อาหารช้าหน่อยนะพี่เจ้าของร้านไม่อยู่และน้องก็ไม่เคย “ทำอาหารเองเลย”!!!! แหม่ช่างโชคดีเสียนี่กระไรได้ชิมฝีมือน้อง มันใช่เรอะ!!!!! เดชะบุญที่น้องน่าจะแค่ไม่เคยทำอาหารที่นี่แต่คงเคยทำอยู่บ้างอาหารออกมาโอเค รอดไปอีกมื้อ

วันสองสอง.jpg

อาหารฝีมือน้องคนนั้น

วันสองสาม.jpg

ขับต่อถึงที่พักในปัว หลงอีกแล้วเพราะสัญญาณโทรศัพท์ไม่ค่อยดีgpsมาๆหายๆ ที่พักก็ลึกแสนลึกแต่ก็มาถึงจนได้ ที่ห้องก็ไม่มีอะไรมากห้องน้ำเอาท์ดอร์หินๆมืดๆ เล่นเอาขี้หด 555 ทีวีในห้องดูไม่ได้ มดตะนอยมาเดินสวนสนามเล่นกันสนุกสนาน

จบวันแค่นี้ล่ะ สนุกจริงๆ

วันสามหนึ่ง

น่าน Day สุดท้าย

วันนี้ไม่มีอะไรมากเดินทางชมทุ่งแถวที่พักเมื่อคืน กลับเข้าเมืองมาไหว้”พระธาตุแช่แห้ง” ตบท้ายด้วยร้านกาแฟเล็กๆแถวสนามบิน ถึงสนามบินหยิบกระเป๋าเจอมดกัดสองตัวติดกำลังคิดด่าในใจว่าติดมาจากที่พักเมื่อคืนแน่ๆ พลางหยิบแคบหมูที่เหลือจากวันแรกมากิน กินไปก็ยังเจอมดอยู่เรื่อยๆ กินไปครึ่งถุง ไอสั๊ดด!! มดเต็มถุงเบย นี่กูจับมดมาปล่อยสนามบินทั้งรังเลยหรือนี่ 55

จบทริป.

วันสามสอง

ฟ้าสวยๆที่พระธาตุแช่แห้ง

 

 

วันสามห้า.jpg

วันสามสาม.jpg

สรรพสิ่งจากร้าน “Work Box” ใกล้ๆสนามบิน ก่อนจะกลับต้องหาน้านกาแฟฮิปๆนั่งกินซะหน่อย เดี๋ยวจะทำตัวไม่เป็นคนกรุงเทพ เดี๋ยวชาวพันธุ์ทิพย์จะว่าเอา 555 “Work box” คาเฟ่เล็กๆเหมาะสำหรับการนั่งรอเวลากลับมาสนามบินเพราะใกล้โคตรๆขับรถไม่ถึงห้านาทีก็ถึงละ เครื่องดื่มโอเคนะอร่อยดี แต่บลอนดี้หวานไปมากทีเดียวแถมกลิ่นแป้งมันแรงไปนิด ยังไม่ผ่านๆ

วันสามสี่

หน้าร้านสักหน่อย

 

วันสามหก.jpg

สรุป ถึงน่านสั้นๆอีกสักหน่อย ที่เมืองเล็กๆอย่างน่านนั้นมีตึกมีบ้านเก่าๆสวยๆอยู่หลายที่ บางที่ก็ได้แต่งตัวใหม่จนไม่ค่อยเหลือเค้าเดิม บางที่ก็ทำนุบำรุงรักษาอย่างดี แต่ก็มีอีกหลายๆที่ที่สวยมากแต่ถูกทิ้งร้างไว้เฉยๆจนน่าเสียดาย อย่างในรูปนี้ที่เห็นก็ถูกปิดร้างไว้เฉยๆดูทรงแล้วคงมีคนเข้ามาดูแลแบบนานๆครั้ง

13680563_10154394379359776_2252143280004769984_n.jpg

อันนี้เป็นอีกตึกที่ชอบในเมือง

มาน่านครั้งนี้ด้วยความที่ไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับที่นี่เท่าไรแล้วก็มาแบบเร่งๆไม่ได้วางแผนอะไรมากนักทำให้หลงๆงงๆไปบ้าง แต่ก็สนุกดีนะดีที่เป็นเมืองเล็กๆที่ต่อให้หลงยังไงก็ไม่หลุดไปไหนไกลจนกลับไม่ถูก ของกินก็อร่อยดีคนก็น่ารักเป็นมิตรกว่าหลายๆที่ เสียดายอยู่อย่างเดียวที่วันสุดท้ายไม่ได้กินกล้วยปิ้งมันปิ้งที่ร้านลุงกับป้าที่ได้กินตอนวันที่สองอีกรอบ (บอกลุงไว้ว่าเดี๋ยววันกลับจะมากินอีก แต่ลุงแกไม่ขายก็ไม่บอกเรา จริงๆลุงก็ไม่น่าทำกันแบบนี้) แถมตอนขึ้นเครื่องกลับยังโดนยึดสบู่กาแฟที่ขายเป็น “ของฝาก” อีกต่างหาก เพราะลืมคิดถึงเรื่องขนาดขวดที่เกินจากที่สายการบินกำหนด เลยต้องทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย

จบจริงๆละ

**คัดลอกมาจากในเฟสบุ๊คแล้วเพิ่มเติมอีกที แต่ไม่ได้เรียบเรียงใหม่เท่าไร…ขี้เกียจ แค่กลัวว่ามันหายไปแล้วจะเสียดาย ขอเก็บไว้หลายๆที่ละกัน จริงๆมีวิดีโอที่ถ่ายในป่าด้วย ขี้เกียจเอามาแปะช่างมันก่อนละกันนะ

 

 

 

วันนี้มารับป๊ากับม๊าที่สนามบิน ซึ่งจริงผมชอบมารับมากกว่ามาส่งนะ เรารู้สึกว่ามันคือช่วงเวลาแห่งการคอคอยที่มีความสุข และก็เชื่อว่าหลายๆคนก็คงคิดแบบเดียวกัน คนที่มารอรับก็มีความสุขที่จะได้เจอคนที่เฝ้ารอ คนที่กำลังกลับมาก็น่าจะมีความสุขกับการได้พบและมีคนรอเค้าเหมือนกัน อย่างน้อยเราก็เชื่อแบบนั้นและมีความสุขกับมันนะ

 

หวังว่าคงได้พบกัน

คิดถึง

 

ตอนนี้ก็ยังคงอยู่ในช่วงของการพูดคุยกับตัวเองอยู่เหมือนเคย และอีกอย่างที่คิดขึ้นมาได้ก็เกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางด้าน “ทัศนคติต่ออะไรบางอย่าง” ที่เกิดการเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนจนรู้สึกได้ เมื่อช่วงสิบปีก่อนจำได้ว่าตอนนั้นอยู่ต่างประเทศ นั่งฟังเพลงอยู่ในสวนสาธารณะคนเดียวกับไอพอดคู่ใจ แล้ววินาทีนั้นเองก็ตัดสินใจได้ว่าชีวิตนี้จะไม่ย้ายสัมโนครัวมาอยู่ต่างประเทศแน่นอน เพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ที่ของเรา

 

ประมาณ 10 ปีต่อมาก็คือช่วงนี้นี่เองการเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เริ่มต้นด้วยการที่รู้สึกว่า “ไม่อยากเกลียดใครอีกแล้ว” จากการที่หลายปีก่อนหน้านี้ได้รับความผิดหวังกับการให้ใจกับหลายๆคนแต่สิ่งที่เราได้รับกลับมามันทำให้เกิดคำถามขึ้นในใจว่า “ทำแบบนี้กับกู…มันใช่หรอวะ?” จนทำให้เกิดช่องว่างขึ้นในความสัมพันธ์ จากที่เคยให้ใจกันแบบเต็มเรียกพี่เรียกน้องได้อย่างสนิทใจกลายเป็นไม่ติดต่อไม่อยากจะสนใจ แต่วันหนึ่งเมื่อความคิดเราเปลี่ยนไป เราลืมเรื่องที่ไม่ดีเหล่านั้นแล้วกลับไปคิดถึงช่วงเวลาดีๆที่เคยมีด้วยกันมาก็พบว่า”มันดีกว่านั้นว่ะ ดีกว่าที่เราจะมานั่งจดจำความรู้สึกลบๆ” และนั่นก็ทำให้เรากลับมาเปิดใจสร้างความสัมพันธ์ใหม่อีกครั้ง แม้ว่าตอนแรกๆอาจจะรู้สึกแปลกๆไปบ้าง แต่พอมันเข้าที่เข้าทางทุกๆอย่างมันก็ดูจะดีขึ้นสำหรับเรา ตอนนี้พูดได้เกือบเต็มปากว่าเราเหมือนเดิมแล้ว ไม่มีความคิดแบบนั้นอีกแล้ว

 

แต่ก็แน่นอนว่าพอเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมันย่อมมีผลกระทบต่ออะไรสักอย่างแน่นอน และมันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป เรื่องฝั่งไม่ดีมันก็มีบ้าง เมื่อเราเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันบางทีก็ทำให้คนรอบข้างเราบางคนตามเราไม่ทัน รู้สึกว่าเราเปลี่ยนไปจากเดิม เราคิดตัวเองมากขึ้น แคร์คนอื่นน้อยลง ซึ่งตรงนี้ก็คงยอมรับว่าจริงในบางส่วน มันเหมือนกับเราขี้เกียจรอใครแล้ว อยากไปต่อแล้ว แบบนี้มันเสียเวลา รอกันไปรอกันมาสรุปสุดท้ายไม่ได้ทำสักที จนบางทีรู้สึกเหมือนตัวเองขยายใหญ่ขึ้นจน กรงที่เคยอยู่มันแคบเกินไปแล้ว ถ้าไม่เปลี่ยนกรงเราก็อยากจะออกไปอยู่ข้างนอกกรงนี้แล้ว  เพราะโลกข้างนอกมันดูน่าสนใจขึ้นจนเกินกว่าที่จะอยู่ในกรงต่อไป เหมือนโลกของเรามันใหญ่ขึ้นในขณะที่โลกของคนอื่นรอบตัวยังอยู่ที่เดิม แต่เราก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะดีหรือไม่ดี รู้แค่ว่าอยากทำอยากลองลุยดูสักรอบ เพื่อที่วันต่อๆไปจะได้ไม่ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความเสียดายอีก

ปล.ถ้าเป็นสตาร์วอร์ผมคงเริ่มเข้าสู่ด้านมืดของพลังแล้วล่ะ